ให้แมวกินบาร์ฟไปทำไม?

ก่อนอื่น ขออธิบายสั้นๆ ว่า แมว กับ เสือ ก็แทบไม่ต่างกันนอกจากขนาด

ตามธรรมชาติเสือกินแบบไหน แมวก็ควรจะกินแบบนั้น ต่างกันแค่ขนาดของเหยื่อที่ล่าเท่านั้น

เคยสังเกตมั้ย ถ้าแมวไม่มีอะไรกิน เวลาหิว เขาก็จะไปจับนกจับหนูกิน

แล้วเขาจะล่าสัตว์เล็กให้เหนื่อยไปทำไม ทั้งๆ ที่หา พืช ผัก ผลไม้นั้นง่ายกว่าเยอะ

ก็เพราะว่าแมวคือสัตว์กินเนื้อ (carnivore) เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์กิน

แล้วอาหารบาร์ฟ (BARF ย่อมาจาก Biologically Appropriate Raw Food) ก็คือการให้อาหารสดดิบที่เลียนแบบธรรมชาติ แล้วบาร์ฟสำหรับแมวจะต้องเป็นอาหารสดดิบจากเนื้อสัตว์โปรตีนสูง ไขมันปานกลาง และ คาร์โบไฮเดรตต่ำไม่เกิน 2%

สำหรับแมว BARF คืออาหารที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากแมวบ้าน สืบทอดเชื้อสายมาจากแมวป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามทะเลทรายแถบแอฟริกาเหนือ เนื่องจากทะเลทรายมีความชื้นต่ำ แมวจึงมีการปรับตัวด้วยความสามารถพิเศษที่ทำให้แมวอยู่รอดได้เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีน้ำกินและทำให้แมวมีความกระหายน้ำต่ำ ดังนั้น การให้ทาน BARF จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการได้รับปริมาณน้ำอย่างเพียงพอ

สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการให้อาหารบาร์ฟ อาจจะเคยถามแบบนี้

‘กินแต่อาหารเม็ดไม่ได้หรอ สะดวกกว่าตั้งเยอะ สูตรเนื้อก็มี’

หรือ

‘ให้กินอาหารเปียกทุกวันอยู่แล้ว แมวไม่ขาดน้ำ ไม่น่าเป็นโรคไตหรอกมั้ง’

ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ เอาเป็นว่า 

‘อาหารบาร์ฟ’ สำหรับแมว ก็เปรียบเสมือน ‘อาหารคลีน’ สำหรับคน

แต่ถ้าคุณเลือกได้ คุณก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเหมียวใช่มั้ยหล่ะ

แล้วถ้าถามว่า

‘ก็เลือกอาหารเม็ดเกรด Holistic ไปเลยสิ แล้วก็ซื้อน้ำพุมาตั้งไว้กระตุ้นให้แมวกินน้ำเพิ่ม แค่นี้แมวก็ไม่เสี่ยงเป็นโรคนิ่ว โรคไตแล้วใช่มั้ย’

ขอตอบว่า

‘ก็ช่วยได้บ้าง อย่างน้อยคุณก็เลือกสิ่งที่ดีให้กับเหมียว แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะกินน้ำอย่างเพียงพอ’

ถ้าอยากให้แมวกินน้ำอย่างเพียงพอ คุณมี 2 ทางเลือก คือ 

1. ให้อาหารเปียก 

2. ให้อาหารบาร์ฟ

แล้วถ้าถามว่า

‘ให้อาหารเปียกเสริม หรือ ให้อาหารเปียกทุกมื้อไปเลยไม่ง่ายกว่าให้บาร์ฟหรอ’

ขอตอบว่า

‘ง่ายกว่าสำหรับคุณ แต่คุณก็ต้องยอมรับนะว่าอาหารเปียกส่วนใหญ่มีสารอาหารไม่ครบถ้วนและอาจมีสารกันบูดผสมอยู่’

เพราะอะไรถึงมีสารอาหารไม่ครบถ้วน 

เพราะอาหารเปียกทุกยี่ห้อ คืออาหารที่ปรุงสุกแล้ว

ซึ่งสารอาหาร กรดอะมิโน และ วิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกายแมว ส่วนใหญ่จะ ถูกทำลายเมื่อโดนความร้อนจากการปรุงสุก

ส่วนสารอาหารที่แมวมักขาดบ่อยเมื่อทานอาหารเปียกเป็นประจำก็จะมี 

• กรดอะมิโน ทอรีน (Taurine): ร่างกายแมวผลิตเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เท่านั้น และถูกทำลายได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน

*** หากได้รับไม่เพียงพอในระยะยาว แมวอาจสูญเสียการมองเห็นถึงขั้นตาบอด มีอาการเหนื่อยง่ายเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ไม่มีแรงปั้มเลือด เลือดคั่งในหัวใจจนอาจทำให้เป็นโรคหัวใจโต

• วิตามิน บี 1 (Thiamine): ร่างกายแมวผลิตเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เท่านั้น และถูกทำลายได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน หรือให้แมวกินปลาบางชนิดที่มี Thiaminase (เอนไซม์ที่คอยทำลาย Thiamine ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ไม่ได้)

*** หากได้รับไม่เพียงพอในระยะยาว แมวจะผอมซูบ การมองเห็นผิดปกติ มีอาการอ่อนล้า กล้ามเนื้อกระตุกและขาดการประสานงานทำให้เดินเซ 

คุณก็ลองไปชั่งน้ำหนักดูว่า ‘การแลกสุขภาพเหมียว เพื่อความสะดวกสบายสำหรับคุณ’ มันคุ้มหรือไม่

แล้วถ้าถามว่า

‘แล้วอาหารบาร์ฟนี่ไม่มีข้อเสียเลยหรอ’

คำตอบ

‘มีสิ อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการให้บาร์ฟคือต้องมีพื้นที่สำรองเก็บในช่องแช่แข็งเยอะๆ’

หากคุณเลี้ยงแมวหลายตัว คุณอาจจะต้องถอยตู้แช่แข็งตู้ใหม่เลยหล่ะ

แล้วก็ต้องสำรองพื้นที่ในช่องแช่เย็นปกติ ไว้ให้อาหารละลายอย่างช้าๆ ข้ามคืน

แล้วนอกจากจะเปลืองที่เก็บ ยังเก็บได้ไม่นานเท่ากับอาหารเม็ดและอาหารเปียกด้วยนะ โดยเฉลี่ยมีอายุขัยแค่ 6 เดือนหลังจากผลิต

'การให้อาหารบาร์ฟแบบแช่แข็งอาจไม่สะดวกคุณ แต่ดีต่อสุขภาพเหมียวแน่นอน'

แต่....จะดีกว่ามั้ย ถ้ามีอาหารแมวที่ให้สะดวก แล้วดีต่อสุขภาพแมว

คำตอบ 

‘ก็ บาร์ฟแบบฟรีซดราย ยังไงล่ะ’

• ไม่ต้องแช่แข็ง ไม่เปลืองพื้นที่ตู้เย็น
• น้ำหนักเบา พกพาสะดวก เก็บได้นาน
• เก็บเหมือนอาหารแห้ง ให้เหมือนอาหารเปียก
• ไม่ต้องรอให้บาร์ฟละลาย แค่เติมน้ำ คนให้เข้ากันก็เสิร์ฟได้

สะดวกกว่านี้มีอีกมั้ยถามใจตัวเองดู?

>>> หรือจะดูสินค้าของเราก็ได้ เราก็มีบาร์ฟฟรีซดรายจำหน่าย เขี้ยวเสน่ห์ฟรีซดราย

หรือสามารถสั่งซื้อได้ที่

Line Shopping

Shopee

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @kyosane